top of page

ทำไมลายมือหมออ่านยาก? ป้องกันปัญหาที่อาจตามมาด้วยระบบ HIS

  • MEDcury Team
  • 18 เม.ย.
  • ยาว 2 นาที

ทำไมลายมือหมอถึงอ่านยาก และการที่ลายมืออ่านยากเป็นผลเสียอย่างไรต่อการรักษาพยาบาล แล้วปัญหาที่ตามมาจากการตีความลายมือผิดจะแก้ไขด้วยการบันทึกข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างระบบ HIS ได้อย่างไรบ้าง



Key Takeaways


  • ลายมือหมอที่อ่านยากนั้นมีสาเหตุมาจากข้อมูลจำนวนมากที่ต้องจดบันทึกในระยะเวลาที่จำกัด ทำให้หมอให้ความสำคัญกับความรวดเร็วมากกว่าลายมือที่สวยงาม


  • การที่ลายมืออ่านยากเป็นผลเสียต่อการรักษาโดยตรง หากอ่านผิดพลาดก็อาจทำให้รักษาผิด จ่ายยาผิด ส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องทางกฎหมายได้ โดยปัญหานี้แก้ได้ด้วยการปรับใช้เทคโนโลยีอย่างระบบ HIS ซึ่งทำให้การบันทึกข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น


ลายมือหมอถือเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครอ่านออก ยกเว้นพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์ด้วยกัน โดยลายมือหมอส่วนใหญ่มักเป็นลายเส้นที่เขียนแบบเร็ว ๆ ซึ่งลายเส้นเหล่านี้ล้วนมีความหมายเกี่ยวข้องกับอาการ และการตรวจรักษาคนไข้ทั้งสิ้น วันนี้ MEDcury จะพาทุกคนไปดูสาเหตุที่ลายมือของหมอนั้นอ่านยาก พร้อมพาไปดูว่าการที่ลายมืออ่านยากเป็นผลเสียอย่างไร และจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?


ทำไมลายมือหมอถึงอ่านยาก?



1. ระยะเวลาตรวจรักษาที่จำกัด

ด้วยสัดส่วนจำนวนหมอในประเทศไทยที่มีน้อยกว่าจำนวนประชากร ทำให้หมอมีเวลาตรวจรักษาคนไข้น้อยลงไปอีก เพราะหมอจะมีรอบตรวจทั้ง OPD (แผนกผู้ป่วยนอก) และ IPD แผนกผู้ป่วยใน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐ ที่หมอจะรับภาระงานหนักขึ้น อาจต้องตรวจผู้ป่วยมากถึง 40-80 คนต่อวัน ทำให้เวลาในการตรวจรักษาน้อยลงไปอีก


ตัวอย่างเช่น หากหมอเข้าเวร 3 ชั่วโมง จะตรวจผู้ป่วยได้ประมาณ 45-60 คน โดยใช้เวลาเฉลี่ย 3-4 นาทีต่อคน ดังนั้นเวลาที่จะใช้จดบันทึกการรักษาต่าง ๆ ก็จะน้อยลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่ยังใช้กระดาษบันทึกข้อมูล โดยไม่มีการบันทึกลงระบบ HIS หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ


2. หมอต้องจดบันทึกข้อมูลหลายอย่าง

สำหรับการรักษาคนไข้แต่ละคนนั้น หมอจะต้องบันทึกข้อมูลต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการ การวินิจฉัยโรคหรือภาวะที่คนไข้อาจเป็น รวมถึงรหัสโรค (ICD-10) ที่ใช้สำหรับประกันสุขภาพ นอกจากนี้หมอยังต้องเขียนแผนการรักษาไม่ว่าจะเป็นการสั่งยา การส่งตรวจเพิ่ม และนัดหมายครั้งถัดไป รวมถึงใบรับรองแพทย์ด้วย


ดังนั้นหากเป็นโรงพยาบาลที่ไม่มีระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) หมอก็จะต้องบันทึกข้อมูลเหล่านี้ลงในกระดาษทั้งหมด ซึ่งจะมีระยะเวลาอันน้อยนิดมาเป็นตัวกำหนดให้หมอเขียนลายมือที่อ่านยากขึ้นนั่นเอง


3. ใช้คำย่อหรือคำเฉพาะ

ถึงแม้ว่าลายมือหมอจะดูเป็นลายเส้นหยึกหยักอ่านไม่เป็นคำ แต่ทั้งหมดที่เขียนลงไปบนกระดาษล้วนมีความหมาย โดยส่วนมากหมอมักจะใช้คำย่อเฉพาะทาง หรือเขียนเน้นตัวอักษรตัวแรกให้เด่น เพื่อประหยัดเวลา เช่น เกณฑ์ปกติจะเขียนว่า Within Normal Limits ก็จะเขียนสั้น ๆ ว่า WNL โดยเขียน W ให้เด่น พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ ก็จะจับใจความจาก W เป็นหลัก


4. ไม่มีระบบอำนวยความสะดวก

สำหรับโรงพยาบาลที่ไม่ได้ใช้ระบบโรงพยาบาลหรือ Hospital Information System หรือ HIS รวมถึงไม่ได้ใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์หรือ EMR (Electronic Medical Record) หมอจะเป็นผู้ที่ต้องจดบันทึกทุกอย่างในการตรวจลงไปในกระดาษ ซึ่งจะต้องทำไปพร้อม ๆ กับการตรวจรักษา ยิ่งถ้าเป็นโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีภาระงานมาก หมอก็จะต้องเร่งความเร็วในการเขียนมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลต่อความสวยงามโดยตรงนั่นเอง


5. ความแม่นยำสำคัญกว่า

เพราะการรักษาพยาบาลเป็นงานที่ความถูกต้อง แม่นยำ จะต้องมาก่อน ลายมือหมอจึงไม่จำเป็นจำต้องสวยงาม แต่เนื้อหาจะต้องกระชับ เข้าใจได้ในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะในสถานการณ์เร่งด่วน การวินิจฉัยและจดบันทึกที่รวดเร็วจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วมากขึ้นตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามทั้งความถูกต้องและบันทึกที่อ่านเข้าใจง่าย ก็ควรเป็นของที่มาคู่กัน เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ



การที่ลายมือหมออ่านยากเป็นผลเสียอย่างไรต่อการรักษา?



1. การรักษาผิดพลาด

ลายมือหมอที่อ่านยากอาจทำให้ข้อมูลหรืออาการที่สำคัญของคนไข้ถูกตีความผิดพลาด โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นผู้ป่วยที่หมอหลายคนให้การรักษา ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดได้เลย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง และอาจมีประเด็นฟ้องร้องตามมาได้


2. การจ่ายยาผิดพลาด

ลายมือหมอที่อ่านยากอาจส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการสื่อสารขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งการแพทย์ต่าง ๆ และใบสั่งยา ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือผู้ป่วยเอง โดยลายมือหมอที่อ่านยากอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวินิจฉัย การรักษา และการจ่ายยา ไม่ว่าจะเป็นยาผิดชนิด การสั่งจ่ายยาในปริมาณและโดสยาที่ไม่เหมาะสม วิธีใช้ยาที่ผิด ไปจนถึงอาจผ่าตัดหรือทำหัตถการผิดพลาดได้


ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์เขียนเลข 1 ใกล้เคียงกับเลข 7 สร้างความสับสนให้กับผู้อ่าน การลืมใส่จุดทศนิยม หรือเขียนตัวเลขชิดกันมากจนแยกไม่ออก จาก 1.0 ก็อาจกลายเป็น 10 ได้ ส่งผลให้อาจสั่งจ่ายยาผิดพลาดนั่นเอง


3. การรักษาล่าช้า

เมื่อหมอ พยาบาล หรือบุคลากรด้านอื่น ๆ ต้องเสียเวลาถอดความหมายจากลายมือที่อ่านไม่ออก ย่อมส่งผลต่อความรวดเร็วในการให้บริการผู้ป่วย เช่น การส่งต่อผู้ป่วยไปยังแผนกอื่น การจ่ายยา โดยถ้าหากเป็นภาวะฉุกเฉินด้วยแล้ว ความล่าช้าเพียงไม่กี่นาที ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ทางการรักษาแย่ลงได้


4. ปัญหาการสื่อสารภายใน

หลังจากที่แพทย์วินิจฉัยโรคเรียบร้อยแล้ว จะต้องบันทึกลงในใบรายงานการตรวจ และเขียนใบสั่งยา รวมถึงเขียนใบรับรองแพทย์ด้วย โดยเอกสารเหล่านี้จะต้องถูกส่งต่อให้กับพยาบาล เภสัชกร อาจรวมไปถึงนักกายภาพ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอีกด้วย


ถึงแม้ว่าหมอพยาบาลด้วยกันจะอ่านลายมือหมอที่อ่านยากกันเป็นประจำ หรือพอจะเดาคำศัพท์ต่าง ๆ ได้อยู่แล้ว แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้อยู่ดี หรืออาจจะทำให้เสียเวลาสอบถามเพิ่มเติมในกรณีที่อ่านไม่ออกจริง ๆ


5. เกิดผลกระทบทางกฎหมา

ไม่ว่าจะเป็นลายมือหมอที่เขียนเพื่อสั่งยา ส่งตรวจ หรือส่งต่อไปยังแผนกเฉพาะทางอื่น ๆ หากเป็นลายมือที่อ่านยาก นอกจากจะสร้างความลำบากในการรักษาแล้ว หากเกิดความผิดพลาดที่นำไปสู่ประเด็นทางกฎหมาย หมอหรือโรงพยาบาลก็อาจถูกฟ้องร้องได้


ลายมือที่เขียนอาจใช้เป็นข้อมูลทางกฎหมายได้ยาก หากเปลี่ยนเป็นการบันทึกแบบดิจิทัล จะช่วยให้ตรวจสอบย้อนหลังได้สะดวก เป็นการป้องกันด้านกฎหมายที่ดีอีกทางหนึ่งด้วย


6. ปัญหาด้านกระบวนการเบิกจ่าย

การเขียนเอกสารทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น ใบรับรองแพทย์ แบบฟอร์มการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น ด้วยลายมือที่อ่านยาก อาจทำให้เกิดความยุ่งยากและล่าช้าในการดำเนินการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากทั้งภาครัฐและเอกชน


เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องเสียเวลาตีความข้อมูล และอาจนำเข้าข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจน โดยเฉพาะรหัสโรคและหัตถการ (ICD-10) ส่งผลให้เกิดผลกระทบในการเรียกเก็บเงินและเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่อาจนำไปสู่การปฏิเสธการเรียกร้องหรือความล่าช้าในการคืนเงิน


7. กระทบต่อชื่อเสียงของโรงพยาบาล

เมื่อลายมืออ่านยากและไม่ชัดเจนเป็นเหตุให้เกิดความความผิดพลาดในการรักษา หรือคุณภาพในการรักษาลดลง จนผู้ป่วยต้องเสี่ยงได้รับอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ผู้ป่วยหลาย ๆ คนจึงอาจมีการร้องเรียน หรืออาจรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายเลยทีเดียว ส่งผลให้โรงพยาบาลต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งสำหรับการดำเนินคดีทางด้านกฎหมาย และเพื่อเยียวยาช่วยเหลือผู้ป่วยหรือครอบครัวของผู้ป่วย


นอกจากนี้ยังทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียงในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ทั้งจากการบอกกันปากต่อปาก และผ่านโซเชียลมีเดีย จนไปถึงการถูกนำเสนอโดยสำนักข่าว นี่จึงอาจกระทบต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนานของโรงพยาบาลอย่างรุนแรง และอาจทำให้รายได้ของโรงพยาบาลลดลงอีกด้วย


3 วิธีเปลี่ยนโรงพยาบาลใหเป็น Paperless Hospital แก้ปัญหาลายมือหมออ่านยาก


1. นำระบบสารสนเทศโรงพยาบาลเข้ามาใช้งาน

ระบบ HIS หรือ Hospital Information System ช่วยปลดล็อกความสามารถในการบันทึกและเก็บเอกสารต่าง ๆ ในรูปแบบออนไลน์ที่ต้องอาศัยด้วยการพิมพ์หรือกดเลือกตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบ ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการถอดรหัสลายมือ รวมถึงลดความผิดพลาดจากการอ่านลายมือหมอคลาดเคลื่อนออกไปได้อีกด้วย


สนใจเรื่องระบบโรงพยาบาลอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ระบบโรงพยาบาลคืออะไร? กับความสำคัญในการดำเนินงานในโรงพยาบาล


2. ใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เวชระเบียนกระดาษ

การใช้เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Records: EMR) แทนเวชระเบียนกระดาษ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ลดการพึ่งพาเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ ผลลัพธ์ปลายทางจึงช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีต้นเหตุมาจากการเขียนด้วยลายมือที่อ่านยาก


3. ใช้เอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์

ในแต่ละวันบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจำเป็นต้องออกเอกสารต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองแพทย์ การบันทึกทางการพยาบาล และอื่น ๆ อีกมากมาย หากเปลี่ยนเอกสารเหล่านี้จากบนกระดาษให้ไปอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทนได้ ก็จะช่วยลดปัญหาที่ตามมาจากลายมือหมอที่อ่านยากอีกด้วย


ระบบ Paperless ช่วยขจัดปัญหาที่เกิดจากลายมือหมออ่านยากได้อย่างไร?

ทั้ง 3 วิธีข้างต้นจะทำให้กระบวนการทำงานระหว่างโรงพยาบาลที่เป็น Paperless Hospital และโรงพยาบาลที่ไม่ได้เป็น Paperless Hospital แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง MEDcury ได้ทำรูปภาพนี้ขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบให้ทุกคนเห็นภาพกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น มาดูกันเลย

กระบวนการทำงานของโรงพยาบาลระหว่างการทำงานที่ไม่ใช่ paperless hospital หรือโรงพยาบาลที่ใช้กระดาษ และการทำงานที่เป็น paperless hospital หรือโรงพยาบาลไร้กระดาษ




สุดท้ายแล้วการเปลี่ยนโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาลไร้กระดาษหรือ Paperless Hospital จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่กระบวนการรักษา ซึ่งส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้ป่วยเองก็ได้ประโยชน์ นอกจากนี้โรงพยาบาลยังสามารถลดการใช้ทรัพยากรได้อีกมหาศาลเลยอีกด้วย


MEDHIS และ MEDHIS Lite ระบบ HIS สำหรับโรงพยาบาลและคลินิก


ระบบที่ได้มาตรฐานถือเป็นทางออกของการพัฒนาโรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาลประเภทอื่น ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาสถานพยาบาลดิจิทัล MEDcury พร้อมให้บริการระบบ Hospital Information Systems ที่ออกกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการทำงานรวดเร็ว ราบรื่น โดยมีให้เลือกทั้งสำหรับโรงพยาบาลและคลินิก ได้แก่


  • ระบบ MEDHIS สำหรับโรงพยาบาลขนาดกลางและขนาดใหญ่ ในรูปแบบ Web-based ที่มีเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์หรือ EMR  มาพร้อมโมดูลมากกว่า 21 โมดูล สำหรับงานด้านต่าง ๆ ในโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน พร้อมด้วยเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับระบบ ERP ทำให้การทำงานระหว่างแผนกเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้รอยต่อ


  • ระบบ MEDHIS Lite ระบบสารสนเทศโรงพยาบาลสำหรับคลินิก และสถานพยาบาลขนาดเล็กถึงกลาง เช่น คลินิกเสริมความงาม มาพร้อมโมดูล 15 โมดูล ตอบโจทย์การใช้งานรอบด้านด้วยยระบบ CRM ตอบโจทย์การแข่งขันในยุคดิจิทัลอย่างครบถ้วน


นอกจากการทำงานที่เต็มประสิทธิภาพ ไร้รอยต่อแล้ว การใช้งานระบบ HIS ที่ได้มาตรฐานยังช่วยสนับสนุนให้โรงพยาบาล มีสิทธิ์ได้รับมาตรฐาน EMRAM จาก HIMSS (Healthcare Information and Management Systems Society) เป็นการยกระดับสถานพยาบาลให้ได้มาตรฐานระดับสากลอีกด้วย


สนใจปรึกษาระบบ MEDHIS และ MEDHIS Lite สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ MEDcury ได้ที่



โทรศัพท์: 02-853-9131 (ในเวลาทำการ 10:00 - 18:00 น. วันจันทร์ - วันศุกร์)

อีเมล: sales@medcury.health 


ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MEDcury จากช่องทางอื่น



bottom of page